คอลัมน์ : อาชญากรรม
รรท.ผบ.ตร. เผยปฏิรูปโครงสร้างตำรวจคิดมานานแล้ว วันนี้ปัจจัยเอื้อปชช.เรียกร้อง เปิดทุกภาคส่วนร่วมคิด ย้ำปรับครั้งนี้ต้องไม่เหมือนเดิม เน้นลดอำนาจ ผบ.ตร. กระจายสู่หน่วยปฏิบัติ
วันนี้ (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 12.20 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการปฏิรูปปรับโครงสร้างตำรวจ ที่มีกระแสข่าวว่าจะปรับเป็นกระทรวงรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และปรับกองบัญชาการเป็นกรมต่างๆในสังกัด ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบันบริหารแบบรวมศูนย์ ซึ่งข้อเรียกร้องของประชาชนให้มีการปฏิรูปตำรวจ อยากเห็นตำรวจกระจายอำนาจ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรใหญ่ มีคน 2 แสนกว่า มี 30 กองบัญชาการ(บช.) ทั้งบช.ที่ปฏิบัติการสนับสนุน และบช.ที่ดูแลพื้นที่ จึงคิดว่าทำอย่างไร ถึงจะกระจายอำนาจตามข้อเรียกร้องของประชาชน ให้หน่วยงานดูแลพื้นที่มีอำนาจบริหารจัดการได้เบ็ดเสร็จ จึงคิดว่าหากเป็นนิติบุคคล สามารถตั้งงบประมาณได้มีงบประมาณ คน เครื่องมือ และการบริหารจัดการเองได้ สามารถกำหนดตัวชี้วัดตามปัจจัยคุกคามในพื้นที่ได้เอง เมื่อบช.ต่างๆเป็นนิติบุคคล ส่วนบังคับบัญชาของตร.ที่เป็นส่วนอำนวยการใหญ่ มีผบ.ตร.อยู่ จะเป็นเพียงหน่วยสนับสนุนประสานงาน คิดเรื่องยุทธศาสตร์ วางแผนการสนับสนุนงบประมาณในภาพรวม ผบ.ตร.จะถูกลดอำนาจลง เล็กลง ผบ.ตร.จะไม่ใช่ ผบ.กองกำลังลัง จะเป็นการกระจายบอำนาจให้หน่วยปฏบัติมีอำนาจเบ็ดเสร็จ คดีที่เกี่ยวข้องหลายพื้นที่ เกี่ยวโยงกับต่างประเทศ ผบ.ตร.ก็สามารถประสานงานสั่งการในส่วนเหล่านี้ได้
“ เป้าหมายคือกระจายอำนาจ ลดลง ไม่ได้ใหญ่โตขึ้น ผบ.ตร.ก็จะเล็กลง ส่วนจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่ต้องรอดู ทั้งนี้เมื่อเรามีแนวทางกระจายอำนาจหน่วยปฏิบัติต่างๆให้มีอิสระ ก็ต้องดูว่าจะเป็นรูปแบบใด โครงสร้างจะเป็นเหมือนกระทรวงหรือไม่ ก็ยังตอบไม่ได้ อาจไม่ใช่ก็ได้เพียงแต่กฎหมายจะเขียนชัดว่าให้กองบัญชาการเป็นนิติบุคคล การปรับโครงสร้างครั้งนี้จึงต้องทำให้ถึงที่สุด กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์อีกต่อไป ” รรท.ผบ.ตร.กล่าว และว่า เราทำตามที่ประชาชนอยากเห็นตำรวจกระจายอำนาจ อยากเห็นผู้นำหน่วยต่างๆเป็นผู้นำหน่วยที่บริหารงาน รับผิดรับชอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างรวมศูนย์ที่ผบ.ตร. เรากำลังคิดตอบโจทย์พี่น้องประชาชน แต่ท้ายที่สุดจะออกมาอย่างไรก็ต้องหารือกัน ทั้งหน่วยที่เกี่ยวข้อง ผู้บังคับบัญชาในทางนโยบาย และพี่น้องประชาชน
ถามว่าเมื่อปรับโครงสร้างตำรวจก็จะไม่เป็นหนึ่งในเหล่าทัพ ไม่สามารถเคียงข้างเหล่าทัพได้ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เราไม่ใช่กองทัพ ผบ.ตร.ไม่ใช่ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจไม่ใช่กองกำลังใหญ่โต ตำรวจต้องกระจายอยู่กับประชาชนในพื้นที่ การให้ตำรวจรวมตัวเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ไม่ใช่หลักการ เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆมีกลไกอยู่แล้ว มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาท จะทำอย่างไรให้ตำรวจในแต่ละพื้นที่ตอบสนองแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ ทั้งนี้หากยังรวมศูนย์รอฟังนโยบายผบ.ตร.ก็ไม่ใช่แล้ว ตนว่าบช.ภ.แต่ละแห่งดูแลหลายจังหวัด มีตำรวจในสังกัดนับหมื่นนาย จึงต้องมีอำนาจบริหารจัดการในพื้นที่ได้เอง แนวคิดนี้มีมาระยะหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องหาจุดสมดุล ดูทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เช่นด้านความมั่นคง
เมื่อถามว่า มีการมองว่า คสช.แต่งตั้งให้ รรท.ผบ.ตร.เพื่อมาปรับโครงสร้างตำรวจโดยเฉพาะ พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ไม่ใช่หรอก ตนเป็นรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ที่เข้ามาทำหน้าที่ในจังหวะนี้พอดี และก็เป็นความต้องการของพี่น้องประชาชน อยากเห็นตำรวจของพี่น้องประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชน เมื่อถามว่าแนวคิดการปฏิรูปนี้เหมือนที่กปปส.พูดบนเวที อาจถูกมองว่าเป็นการรับลูก ทำเพื่อสนองแนวคิด ของกปปส. พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ผมคิดว่า จะเป็นแนวคิดของใครก็ตาม ขอแค่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน เราอยากเห็นการเมืองการปกครองที่ดี มีคุณธรรมทุกคนอาสาเข้ามาบริหารปกครองประเทศ ตำรวจก็ต้องเป็นตำรวจของประชาชน นี่ไม่ใช่ความคิดของใคร แต่เป็นความคิดของพี่น้องประชาชน
ถามว่าที่ผ่านมาตำรวจปฏิรูปตำรวจมาหลายครั้งแต่ตำรวจก็ยังมีปัญหา โครงสร้างใหม่จะตอบโจทย์ได้หรือ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การบริหารราชการเป็นเรื่องหนึ่ง ระบบวิธีการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเราอยากให้ตำรวจทำงานด้วยความโปร่งใสรับผิดชอบ ต้องใช้กลไกหลายเรื่องสมัยที่ตนทำงานกับพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ก็มีแนวคิดการพัฒนาคนด้วยการฝึกอบรมตลอดเวลา นำเทคโนโลยี ไอทีเข้ามาทำงานเพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ ใช้วิทยาการทำให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องทำเป็นองคาพยพ ประชาชนมาช่วยสอดส่องดูแลแนะนำ ยืนยันไม่ใช่การตอบโจทย์กปปส.อย่างแน่นอน ตนมองว่าพี่น้องประชาชนอยากเห็นนักการเมือง ข้าราชการ รวมถึงตำรวจเป็นข้าราชการที่ดี ทำเพื่อประชาชน ข้าราชการทั้งตำรวจทหารก็อยากเห็นระบบที่มีคุณธรรม เชื่อมั่นได้ สิ่งเหล่านี้เราฝันอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าปัญหาที่ผ่านมาคือฝ่ายการเมืองล้วงลูก การปฏิรูปครั้งนี้จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า การเมืองการปกครองเป็นของคู่กัน นักการเมืองที่เป็นคนดี มีความพร้อมเสียสละเข้ามาเป็นนักการเมืองทำหน้าที่นิติบัญญัติ บริหาร ก็หวังว่าเข้ามาทำอย่างไรให้สังคมรุ่งเรือง ประชาชนมั่นคงกินดูอยู่ดีปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ตำรวจ ทหารก็เป็นกลไกลรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ อยากเห็น
เมื่อถามว่า ตำรวจบางส่วนวิพากษณ์วิจารณ์ และไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อเป็นผู้บังคับบัญชาก็ต้องคิดว่าอะไรดีที่จะตอบโจทย์สังคม ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ก่อนเปลี่ยนแปลงก็ต้องรับฟังความเห็น ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ลองผิดลองถูก ไม่มีใครเป็นพหูสูตร คิดในฐานะตำรวจคนหนึ่ง คิดว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้ตำรวจมั่นใจระบบคุณธรรม และให้ตำรวจทุกคนรับผิดชอบทำหน้าที่ดูแลประชาชน
เมื่อถามว่ารับงานจากฝ่ายที่มีแนวคิดต้องการปฏิรูป รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่าไม่ใช่หรอก คนที่เป็นตำรวจด้วยมีจิตวิญญาน อยากให้ทำอาชีพมีเกียรติศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ทำอะไรได้ ก็กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง การที่ตนออกมาพูดเช่นนี้ นี่คือกระบวนการประชาพิจารณ์อย่างหนึ่ง เมื่อพูดไปคนวิจารณ์ ก็รับฟังปรับไป การที่ดำเนินการตรงนี้ ทางคสช.มองว่ามีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน
รรท.ผบ.ตร. กล่าวีกว่า ตนเป็นรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ที่มาทำหน้าที่ ได้คุยกับพล.ต.อ.อดุลย์ กับอดีตผู้บังคับบัญชา มีการให้ความเห็นมาเราก็รับฟัง นี่คือการเบรนสตรอมมิ่ง ย้ำว่านี่คือกระบวนการคิดเพื่อตอบโจทย์พี่น้องประชาชน เปิดโอเพ่นคิดให้เต็มที่ แนวคิดนี้คิดมานานแล้ว แต่ขึ้นกับปัจจัยที่เอื้อให้พัฒนา ปัจจัยที่ประชาชนเร่งเร้าให้ตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน การปฏิรูปครั้งนี้ไม่รู้สำเร็จหรือไม่ แต่ต้องกล้าคิดกล้าเปลี่ยนแปลง
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ยังคงต้องแสวงหาข้อมูลรอบด้าน กระบวนการยังอีกยาวนาน เปิดโดอกาสให้พี่น้องประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันคิด ซึ่งกระแสตอนนี้ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผลที่สุดตำรวจไม่ใช่ผู้ตัดสินได้ ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา กรอบเวลา 4 เดือนจะทำได้หรือไม่ ตอบไม่ได้ เพิ่งเริ่มกระบวนการคิดเท่านั้น ยังมีกระบวนการอีกมากกว่าจะสำเร็จ
รรท.ผบ.ตร. เผยปฏิรูปโครงสร้างตำรวจคิดมานานแล้ว วันนี้ปัจจัยเอื้อปชช.เรียกร้อง เปิดทุกภาคส่วนร่วมคิด ย้ำปรับครั้งนี้ต้องไม่เหมือนเดิม เน้นลดอำนาจ ผบ.ตร. กระจายสู่หน่วยปฏิบัติ
วันนี้ (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 12.20 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการปฏิรูปปรับโครงสร้างตำรวจ ที่มีกระแสข่าวว่าจะปรับเป็นกระทรวงรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และปรับกองบัญชาการเป็นกรมต่างๆในสังกัด ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบันบริหารแบบรวมศูนย์ ซึ่งข้อเรียกร้องของประชาชนให้มีการปฏิรูปตำรวจ อยากเห็นตำรวจกระจายอำนาจ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรใหญ่ มีคน 2 แสนกว่า มี 30 กองบัญชาการ(บช.) ทั้งบช.ที่ปฏิบัติการสนับสนุน และบช.ที่ดูแลพื้นที่ จึงคิดว่าทำอย่างไร ถึงจะกระจายอำนาจตามข้อเรียกร้องของประชาชน ให้หน่วยงานดูแลพื้นที่มีอำนาจบริหารจัดการได้เบ็ดเสร็จ จึงคิดว่าหากเป็นนิติบุคคล สามารถตั้งงบประมาณได้มีงบประมาณ คน เครื่องมือ และการบริหารจัดการเองได้ สามารถกำหนดตัวชี้วัดตามปัจจัยคุกคามในพื้นที่ได้เอง เมื่อบช.ต่างๆเป็นนิติบุคคล ส่วนบังคับบัญชาของตร.ที่เป็นส่วนอำนวยการใหญ่ มีผบ.ตร.อยู่ จะเป็นเพียงหน่วยสนับสนุนประสานงาน คิดเรื่องยุทธศาสตร์ วางแผนการสนับสนุนงบประมาณในภาพรวม ผบ.ตร.จะถูกลดอำนาจลง เล็กลง ผบ.ตร.จะไม่ใช่ ผบ.กองกำลังลัง จะเป็นการกระจายบอำนาจให้หน่วยปฏบัติมีอำนาจเบ็ดเสร็จ คดีที่เกี่ยวข้องหลายพื้นที่ เกี่ยวโยงกับต่างประเทศ ผบ.ตร.ก็สามารถประสานงานสั่งการในส่วนเหล่านี้ได้
“ เป้าหมายคือกระจายอำนาจ ลดลง ไม่ได้ใหญ่โตขึ้น ผบ.ตร.ก็จะเล็กลง ส่วนจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่ต้องรอดู ทั้งนี้เมื่อเรามีแนวทางกระจายอำนาจหน่วยปฏิบัติต่างๆให้มีอิสระ ก็ต้องดูว่าจะเป็นรูปแบบใด โครงสร้างจะเป็นเหมือนกระทรวงหรือไม่ ก็ยังตอบไม่ได้ อาจไม่ใช่ก็ได้เพียงแต่กฎหมายจะเขียนชัดว่าให้กองบัญชาการเป็นนิติบุคคล การปรับโครงสร้างครั้งนี้จึงต้องทำให้ถึงที่สุด กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์อีกต่อไป ” รรท.ผบ.ตร.กล่าว และว่า เราทำตามที่ประชาชนอยากเห็นตำรวจกระจายอำนาจ อยากเห็นผู้นำหน่วยต่างๆเป็นผู้นำหน่วยที่บริหารงาน รับผิดรับชอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างรวมศูนย์ที่ผบ.ตร. เรากำลังคิดตอบโจทย์พี่น้องประชาชน แต่ท้ายที่สุดจะออกมาอย่างไรก็ต้องหารือกัน ทั้งหน่วยที่เกี่ยวข้อง ผู้บังคับบัญชาในทางนโยบาย และพี่น้องประชาชน
ถามว่าเมื่อปรับโครงสร้างตำรวจก็จะไม่เป็นหนึ่งในเหล่าทัพ ไม่สามารถเคียงข้างเหล่าทัพได้ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เราไม่ใช่กองทัพ ผบ.ตร.ไม่ใช่ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจไม่ใช่กองกำลังใหญ่โต ตำรวจต้องกระจายอยู่กับประชาชนในพื้นที่ การให้ตำรวจรวมตัวเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ไม่ใช่หลักการ เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆมีกลไกอยู่แล้ว มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาท จะทำอย่างไรให้ตำรวจในแต่ละพื้นที่ตอบสนองแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ ทั้งนี้หากยังรวมศูนย์รอฟังนโยบายผบ.ตร.ก็ไม่ใช่แล้ว ตนว่าบช.ภ.แต่ละแห่งดูแลหลายจังหวัด มีตำรวจในสังกัดนับหมื่นนาย จึงต้องมีอำนาจบริหารจัดการในพื้นที่ได้เอง แนวคิดนี้มีมาระยะหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องหาจุดสมดุล ดูทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เช่นด้านความมั่นคง
เมื่อถามว่า มีการมองว่า คสช.แต่งตั้งให้ รรท.ผบ.ตร.เพื่อมาปรับโครงสร้างตำรวจโดยเฉพาะ พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ไม่ใช่หรอก ตนเป็นรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ที่เข้ามาทำหน้าที่ในจังหวะนี้พอดี และก็เป็นความต้องการของพี่น้องประชาชน อยากเห็นตำรวจของพี่น้องประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชน เมื่อถามว่าแนวคิดการปฏิรูปนี้เหมือนที่กปปส.พูดบนเวที อาจถูกมองว่าเป็นการรับลูก ทำเพื่อสนองแนวคิด ของกปปส. พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ผมคิดว่า จะเป็นแนวคิดของใครก็ตาม ขอแค่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน เราอยากเห็นการเมืองการปกครองที่ดี มีคุณธรรมทุกคนอาสาเข้ามาบริหารปกครองประเทศ ตำรวจก็ต้องเป็นตำรวจของประชาชน นี่ไม่ใช่ความคิดของใคร แต่เป็นความคิดของพี่น้องประชาชน
ถามว่าที่ผ่านมาตำรวจปฏิรูปตำรวจมาหลายครั้งแต่ตำรวจก็ยังมีปัญหา โครงสร้างใหม่จะตอบโจทย์ได้หรือ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การบริหารราชการเป็นเรื่องหนึ่ง ระบบวิธีการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเราอยากให้ตำรวจทำงานด้วยความโปร่งใสรับผิดชอบ ต้องใช้กลไกหลายเรื่องสมัยที่ตนทำงานกับพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ก็มีแนวคิดการพัฒนาคนด้วยการฝึกอบรมตลอดเวลา นำเทคโนโลยี ไอทีเข้ามาทำงานเพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ ใช้วิทยาการทำให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องทำเป็นองคาพยพ ประชาชนมาช่วยสอดส่องดูแลแนะนำ ยืนยันไม่ใช่การตอบโจทย์กปปส.อย่างแน่นอน ตนมองว่าพี่น้องประชาชนอยากเห็นนักการเมือง ข้าราชการ รวมถึงตำรวจเป็นข้าราชการที่ดี ทำเพื่อประชาชน ข้าราชการทั้งตำรวจทหารก็อยากเห็นระบบที่มีคุณธรรม เชื่อมั่นได้ สิ่งเหล่านี้เราฝันอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าปัญหาที่ผ่านมาคือฝ่ายการเมืองล้วงลูก การปฏิรูปครั้งนี้จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า การเมืองการปกครองเป็นของคู่กัน นักการเมืองที่เป็นคนดี มีความพร้อมเสียสละเข้ามาเป็นนักการเมืองทำหน้าที่นิติบัญญัติ บริหาร ก็หวังว่าเข้ามาทำอย่างไรให้สังคมรุ่งเรือง ประชาชนมั่นคงกินดูอยู่ดีปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ตำรวจ ทหารก็เป็นกลไกลรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ อยากเห็น
เมื่อถามว่า ตำรวจบางส่วนวิพากษณ์วิจารณ์ และไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เมื่อเป็นผู้บังคับบัญชาก็ต้องคิดว่าอะไรดีที่จะตอบโจทย์สังคม ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ก่อนเปลี่ยนแปลงก็ต้องรับฟังความเห็น ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ลองผิดลองถูก ไม่มีใครเป็นพหูสูตร คิดในฐานะตำรวจคนหนึ่ง คิดว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้ตำรวจมั่นใจระบบคุณธรรม และให้ตำรวจทุกคนรับผิดชอบทำหน้าที่ดูแลประชาชน
เมื่อถามว่ารับงานจากฝ่ายที่มีแนวคิดต้องการปฏิรูป รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่าไม่ใช่หรอก คนที่เป็นตำรวจด้วยมีจิตวิญญาน อยากให้ทำอาชีพมีเกียรติศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ทำอะไรได้ ก็กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง การที่ตนออกมาพูดเช่นนี้ นี่คือกระบวนการประชาพิจารณ์อย่างหนึ่ง เมื่อพูดไปคนวิจารณ์ ก็รับฟังปรับไป การที่ดำเนินการตรงนี้ ทางคสช.มองว่ามีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน
รรท.ผบ.ตร. กล่าวีกว่า ตนเป็นรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ที่มาทำหน้าที่ ได้คุยกับพล.ต.อ.อดุลย์ กับอดีตผู้บังคับบัญชา มีการให้ความเห็นมาเราก็รับฟัง นี่คือการเบรนสตรอมมิ่ง ย้ำว่านี่คือกระบวนการคิดเพื่อตอบโจทย์พี่น้องประชาชน เปิดโอเพ่นคิดให้เต็มที่ แนวคิดนี้คิดมานานแล้ว แต่ขึ้นกับปัจจัยที่เอื้อให้พัฒนา ปัจจัยที่ประชาชนเร่งเร้าให้ตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน การปฏิรูปครั้งนี้ไม่รู้สำเร็จหรือไม่ แต่ต้องกล้าคิดกล้าเปลี่ยนแปลง
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ยังคงต้องแสวงหาข้อมูลรอบด้าน กระบวนการยังอีกยาวนาน เปิดโดอกาสให้พี่น้องประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันคิด ซึ่งกระแสตอนนี้ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผลที่สุดตำรวจไม่ใช่ผู้ตัดสินได้ ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา กรอบเวลา 4 เดือนจะทำได้หรือไม่ ตอบไม่ได้ เพิ่งเริ่มกระบวนการคิดเท่านั้น ยังมีกระบวนการอีกมากกว่าจะสำเร็จ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น